สารเคมี
“A substance that is used in a chemical reaction to detect, measure, examine or produce other substances”
“A substance or compound that is added to a system in order to bring a chemical reaction or is added to check whether a reaction has occurred or not.”
สารเคมี คือ “สารอินทรีย์หรืออนินทรีย์ที่ทราบน้ำหนักสูตรโมเลกุลที่แน่นอนและมีความบริสุทธิ์เพียงพอที่ใช้กับงานวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อทำการทดสอบการวัดและการตรวจสอบค่าต่าง ๆ ได้”
เกรดสารเคมี (Chemical grade)
สารเคมีที่เราใช้กันในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์มีจำนวนมาก และมีการแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ตามสมบัติเฉพาะ เช่น ความบริสุทธ์ ปริมาณสารปนเปื้อน มาตรฐานที่ผลิตหรือรับรอง ซึ่งนักเคมีหรือผู้ทดลองต้องเคยใช้และรู้จักกับชื่อเรียกเกรดสารเคมี เช่น เกรดวิเคราะห์ (AR grade) เกรดปฏิบัติการ (lab grade) เกรด USP เกรด ACS หรืออาจเคยเห็นตัวย่ออื่น ๆ อีกมากมาย
สารเคมีที่ใช้ในห้องปฏิบัติการสามารถแบ่งเป็นเกรดตามระดับความบริสุทธิ์และการนำไปใช้งาน
เกรดสารเคมี | คำจำกัดความ | คุณลักษณะและการเลือกใช้งาน |
เกรดอุตสหกรรม (Technical grade หรือ Commercial grade) |
A good quality chemical grade used for commercial and industrial purposes. Not pure enough to be offered for food, drug, or medicinal use of any kind | - สารเคมีเกรดที่มีความบริสุทธิ์ต่ำ - ไม่บอกรายละเอียดของสารเจือปน (impurity) ไม่มีการรับรองปริมาณสารปนเปื้อน - ราคาถูก - สามารถใช้กับงานทดลองบางอย่างที่สารเจือปนไม่มีผลต่อการทดลอง แต่ไม่ควรใช้เป็นสารทำปฏิกิริยาเพื่อการวิเคราะห์เชิงปริมาณ |
เกรด Purified (Practical grade) |
Also called pure or practical grade, and indicates good quality chemicals meeting no official standard; can be used in most cases for educational applications. Not pure enough to be offered for food, drug, or medicinal use of any kind | - มีความบริสุทธิ์สูงกว่าเกรดอุตสาหกรรม (Technical grade) แต่ระดับความบริสุทธิ์เท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับบริษัทที่ทำการผลิต - เหมาะสำหรับใช้ในงานวิเคราะห์ทั่วไป แต่ส่วนใหญ่มักใช้ทำ Blank Detection |
เกรดห้องปฏิบัติการ (Laboratory reagent grade) |
A chemical grade of relatively high quality with exact levels of impurities unknown; usually pure enough for educational applications. Not pure enough to be offered for food, drug, or medicinal use of any kind | - มีความบริสุทธิ์สูงประมาณ 95%*(*แตกต่างตามแต่ละแบรนด์ผู้ผลิต) - ผู้ผลิตรับรองความบริสุทธิ์และปริมาณสูงสุดของสารปนเปื้อน - มีคุณภาพเทียบเท่าหรือสูงกว่าสารเคมีเกรดยา - ชื่อเรียกเกรดห้องปฏิบัติการแตกต่างกันตามแต่ละผู้ผลิต (ตารางด้านล่าง) |
เกรด NF |
A grade of sufficient purity to meet or exceed requirements of the United States National Formulary. (Since bought out and merged with the United States Pharmacopeia, USP-NF) | - สารเคมีที่มีความบริสุทธิ์ได้มาตรฐานตามที่ national formulary (NF) กำหนด - เหมือนกับเกรดทางยา - เหมาะสำหรับใช้ในงานที่ไม่ต้องคำนึงถึงความบริสุทธิ์ของสารเคมีจะมีสารเคมีอื่นเจือปน (impurities) อยู่ในปริมาณปานกลาง |
เกรดทางยา (Pharmacopoeia grade) |
A chemical grade of sufficient purity to meet or exceed requirements of the United States Pharmacopeia (USP); acceptable for food, drug, or medicinal use; may be used for most laboratory purposes | - มีความบริสุทธิ์สูง แต่ไม่ทราบความบริสุทธิ์ที่แน่นอน แต่ข้อสำคัญยิ่งคือ จะต้องไม่มีสารที่เป็นพิษต่อร่างกายเจือปนอยู่ - สารเคมีที่ผลิตตามเภสัชตำรับมาตรฐานของแต่ละประเทศหรือทวีป ชื่อเรียกต่างกัน เช่น USP ของสหรัฐอเมริกา (United State Pharmacopoeia), BP ของประเทศอังกฤษ (British Pharmacopoeia), EP ของ European Zone (European Pharmacopoeia) |
เกรดวิเคราะห์ |
High purity is generally equal to ACS grade and suitable for use in many laboratory and analytical applications | - สารเคมีที่มีคุณภาพตามมาตรฐานของ ACS - สารนี้มีความบริสุทธิ์สูงมาก (ประมาณ 99%) มีสิ่งเจือปน(impurities) ค่อนข้างน้อย - มีข้อมูลแสดงปริมาณสารสูงสุด และสารปนเปื้อนสูงสุด (maximum limits of impurity) บนฉลากข้างภาชนะบรรจุชัดเจน - มีมาตรฐานที่กำหนดไว้ตามแต่ละบริษัทผู้ผลิต - ใช้ในงานด้านเคมีวิเคราะห์ทางคุณภาพและปริมาณในห้องปฏิบัติการ เหมาะสำหรับใช้ในงานวิเคราะห์ที่ต้องการความแม่นสูง และใช้ในการเตรียมสารละลายมาตรฐาน |
เกรด ACS |
A chemical grade of the highest purity and meets or exceeds purity standards set by the American Chemical Society (ACS) | มีความบริสุทธิ์สูง มีคุณลักษณะเหมือนกันเกรดวิเคราะห์แต่ที่เพิ่มเติมคือการได้รับการรับรอง ความบริสุทธิ์ตรงตามมาตรฐานที่ระบุไว้โดย Reagent Chemicals Committee of the American Chemical Society |
เกรดสารเฉพาะงาน |
สารเคมีที่ใช้กับเฉพาะงาน หรือมีวัตถุประสงค์เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเทคนิค เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Primary standard grade: มีความบริสุทธิ์สูงมาก มีคุณสมบัติเป็นสารมาตรฐานปฐมภูมิ มีใบรับรองแสดงผลการวิเคราะห์ (Certificated of Analysis: COA) ที่แสดงรายละเอียดของสารปนเปื้อนอย่างชัดเจน Spectroscopic grade: งานด้านสเปกโทรสโกปี มีความบริสุทธิ์สูง ราคาแพง Research grade: งานวิจัยทั่วไป Scintillation grade: งานด้านกัมมันตรังสี Pesticide grade & Nano grade: งานวิเคราะห์สารกำจัดศัตรูพืช Chromatographic grade: งานด้านเทคนิคโครมาโทกราฟี (GC grade) มีความบริสุทธิ์สูงมาก ราคาแพง Ultra-pure grade: งานด้านเทคนิคโครมาโทกราฟี (HPLC grade, LCMS grade) มีความบริสุทธิ์สูงมาก มีสารเจือปนต่ำ ระดับ ppb (ส่วนในพันล้านส่วน) ราคาแพง |
ตารางแสดงชื่อเรียกของเกรดสารเคมีของแต่ละผู้ผลิต
บริษัทผู้ผลิต | ประเทศ | เกรดอุตสาหกรรม | เกรดห้องปฏิบัติการ | เกรดวิเคราะห์ |
Fisher Chemical | England | Technical | Extra pure, Analysis | AR, Analytical reagent |
AJAX Finechem | Australia | Technical | UNILAB | UNIVAR |
Alfa Aesar | England | - | LAB | Analysis |
BDH | England | Technical | LR Purified | AnalaR |
MERCK | Germany | Technical | Pure, Lab | GR |
FLUKA | Switzerland | Techn. | Purum | Puriss p.a. / ACS reagent |
Sigma | USA | Techn. | Purum | Puriss p.a. / ACS reagent |
Carlo Erba | Italy | RE | ERBApharm | Purex for analysis/RPE/ACS-Reag Ph.Eur. /Reag. USP |
HiMedia | India | Technical/ Purified | Extra pure/ L.R. | A.R. |
KemAus | Australia | Technical | Laboratory reagent | A.R. |
Chemsupply | Australia | Technical | Laboratory reagent | A.R. |
QReC | New Zealand | - | Extra pure | Grade AR |
Loba Chemie | India | - | Extra pure | AR, AR/ACS |
ฉลากสารเคมี
- ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย ชื่อสารเคมี (ชื่อตามระบบ IUPAC และ/หรือ ชื่อสามัญ ซึ่งอาจปรากฎหลายภาษา) สูตรเคมีหรือสูตรโมเลกุล น้ำหนักโมเลกุล ปริมาณสารปนเปื้อน เป็นต้น
- สัญลักษณ์เตือน
- วิธีการเก็บรักษา
- วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ
- ข้อมูลผู้ผลิต
ตัวอย่างฉลาก Acetone (ของเดิม) | ตัวอย่างฉลาก Acetone ตามระบบ GHS |
ระบบ EEC
ตามข้อกำหนดของประชาคมยุโรป ที่ 67/548/EEC สัญลักษณ์แสดงอันตรายจะแบ่งออกตามประเภทของอันตราย โดยใช้รูปภาพสีดำเป็นสัญลักษณ์แสดงอันตรายบนพื้นสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีส้ม และมีอักษรย่อกำกับที่มุมขวา
สัญลักษณ์ | ข้อควรระวัง |
วัตถุระเบิดได้ (E: Explosive) สารเคมีที่เกิดปฏิกิริยาแล้วให้ความร้อนและแก๊สอย่างรวดเร็ว หรือ เมื่อได้รับความร้อนในสภาวะจำกัดจะเกิดการระเบิด หรือ เผาไหม้อย่างรุนแรง |
หลีกเลี่ยงการกระแทกเสียดสี แหล่งกำเนิดประกายไฟ และความร้อน |
วัตถุไวไฟสูงมาก (F+: Extremely Flammable) ของเหลวที่มีจุดวาบไฟต่ำกว่า 0°C และจุดเดือดไม่เกิน 35°C แก๊ส และแก๊สผสมซึ่งไวไฟในอากาศที่อุณหภูมิและความดันปกติ | ควรเก็บให้ห่างจากแหล่งที่มีเปลวไฟ, ประกายไฟ และความร้อน |
วัตถุไวไฟมาก (F: Highly Flammable) ของเหลวที่มีจุดวาบไฟต่ำกว่า 0°C และจุดเดือดไม่เกิน 35°C แก๊ส และแก๊สผสมซึ่งไวไฟในอากาศที่อุณหภูมิและความดันปกติ | ควรเก็บให้ห่างจากแหล่งที่มีเปลวไฟ, ประกายไฟ และความร้อน |
สารออกซิไดส์ (O: Oxidizing) สารเคมีซึ่งโดยปกติไม่ลุกไหม้เอง แต่เมื่อสัมผัสกับสารซึ่งลุกไหม้ได้สามารถให้ออกซิเจน แล้วเร่งการลุกไหม้ได้ | หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีที่ไวไฟ ระวังอันตรายจากการจุดติดไฟ เมื่อเกิดไฟไหม้สารนี้จะเร่งไฟไหม้มากขึ้น และทำให้การดับไฟยากขึ้น |
สารพิษ (T+/T: Toxic) การสูดดม กลืนกิน หรือดูดซึมผ่านผิวหนังแม้เพียงปริมาณเล็กน้อยจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรืออาจถึงตายได้ ในกรณีที่ได้รับสารเข้าไปในปริมาณมากหรือสะสมต่อเนื่องเป็นเวลานานจะปรากฏอาการรุนแรง และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอย่างถาวร โดยเฉพาะผลการก่อมะเร็ง การทำอันตรายต่อทารกในครรภ์ และก่อการกลายพันธุ์ | ควรหลีกเลี่ยงการการสัมผัสกับร่างกายทุกรูปแบบ ถ้ารู้สึกไม่สบายให้ปรึกษาแพทย์ทันที ระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับสารก่อมะเร็ง สารที่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือสารก่อการกลายพันธุ์ เมื่อจำเป็นต้องใช้ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดเฉพาะของแต่ละสาร |
สารอันตราย (Xn : Harmful) การสูดดม การกลืนกิน หรือซึมผ่านผิวหนังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพแบบเฉียบพลัน หรือเรื้อรัง อาจเกิดผลเสียต่อสุขภาพ ถ้าใช้อย่างไม่เหมาะสม โดยเฉพาะสารซึ่งน่าสงสัยว่าจะเป็นสารก่อมะเร็ง สารก่อการกลายพันธุ์ และสารที่มีพิษต่อระบบสืบพันธุ์ การสูดดมอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ | ต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับร่างกายทุกรูปแบบ ให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ สำหรับสารก่อมะเร็ง สารก่อการกลายพันธุ์ สารที่มีพิษต่อระบบสืบพันธุ์ |
สารกัดกร่อน (C : Corrosive) สารซึ่งโดยปฏิกิริยาเคมีจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตและกัดกร่อนอุปกรณ์ปฏิบัติการ | ป้องกันไม่ให้สารกัดกร่อนเข้าตา สัมผัสผิวหนังและเสื้อผ้าเป็นพิเศษ รวมทั้งอย่าสูดดมไอของสารกลุ่มนี้ ในกรณีอุบัติเหตุหรือเมื่อรู้สึกไม่สบาย ให้ปรึกษาแพทย์ทันที |
สารระคายเคือง (Xi : Corrosive) แม้จะไม่ได้มีคุณสมบัติกัดกร่อน หากผิวหนังหรือเนื้อเยื่อสัมผัสสารนี้ซ้ำๆ กันหรือเป็นเวลานาน อาจก่อให้เกิดอาการบวม หรืออาจก่อให้เกิดอาการแพ้ | หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับดวงตา ผิวหนัง และการสูดดมไอของสาร |
สารที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม (N : Dangerous for the environment) การปล่อยสู่สภาพแวดล้อม จะทำให้เกิดความเสียหายต่อองค์ประกอบของสิ่งแวดล้อมทันที | อย่าปล่อยสู่ระบบสุขาภิบาล ดิน หรือสิ่งแวดล้อม ให้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของการกำจัดพิเศษเฉพาะแต่ละสาร |
รหัสความเสี่ยง (Risk phase)
รหัสที่ใช้บ่งบอกลักษณะของความเสี่ยงต่ออันตรายที่จะเกิดจากสารเคมี ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 59 แบบ โดยใช้อักษร R นำหน้า ตามด้วยตัวเลข 1 ถึง 59
- รหัสเดี่ยว เช่น R20 เป็นสารที่เกิดอันตรายได้เมื่อสูดดม
- รหัสแบบผสม เช่น R 20/21 เป็นสารอันตรายที่เกิดอันตรายได้เมื่อสูดดมและสัมผัสทางผิวหนัง
R20/21/22 สารที่เกิดอันตรายได้เมื่อสูดดมสัมผัสทางผิวหนัง และเมื่อกินเข้าไปเป็นต้น <More Detial>
รหัสความปลอดภัย (Safety phase)
รหัสที่แสดงคำแนะนำด้านความปลอดภัยจากสารเคมีต่าง ๆ ปัจจุบันมีอยู่ 60 แบบ โดยใช้อักษร S นำหน้าตามด้วยตัวเลข 1- 60
- รหัสเดี่ยว เช่น S1 เป็นสารที่ต้องเก็บให้มิดชิด
- แสดงรหัสผสม เช่น S1/2 เป็นสารที่ต้องเก็บให้มิดชิดและห่างจากเด็ก
S3/9/14 เป็นสารที่ต้องเก็บไว้ในที่เย็น มีการระบายอากาศที่ดีและเก็บห่างจาก… (สารที่อยู่ใกล้กันไม่ได้ ซึ่งบริษัทผู้ผลิตจะเป็นผู้ระบุไว้) <More Detial>
ระบบ UN
United Nations Committee of Experts on the Transport of Dangerous Goods จำแนกสารที่เป็นอันตรายและเป็นเหตุให้ถึงแก่ชีวิตได้ หรือก่อให้เกิดความเสียหาย ออกเป็น 9 ประเภท (UN-Class) ตามลักษณะที่ก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสี่ยงในการเกิดอันตราย
ประเภท 1 : ระเบิดได้ Class 1 : Explosives |
ของแข็งหรือของเหลว หรือสารผสมที่สามารถเกิดปฏิกิริยาทางเคมีด้วยตัวมันเอง ทำให้เกิดแก๊สที่มีความดัน และความร้อนอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการระเบิดสร้างความเสียหายแก่บริเวณโดยรอบได้ ซึ่งรวมถึงสารที่ใช้ทำดอกไม้เพลิงและสิ่งของที่ระเบิดได้ด้วย แบ่งเป็น 6 กลุ่มย่อย ได้แก่
1.1 สารหรือสิ่งของที่ก่อให้เกิดอันตรายจากการระเบิดอย่างรุนแรงทันทีทันใดทั้งหมด (Mass Explosive) เช่น เชื้อปะทุ ลูกระเบิด เป็นต้น
1.2 สารหรือสิ่งของที่มีอันตรายจากการระเบิดแตกกระจาย แต่ไม่ระเบิดทันทีทันใด ทั้งหมด เช่น กระสุนปืน ทุ่นระเบิด ชนวนปะทุ เป็นต้น 1.3 สารหรือสิ่งของที่เสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้และอาจมีอันตรายบ้าง จากการระเบิด หรือการระเบิดแตกกระจาย แต่ไม่ระเบิดทันทีทันใดทั้งหมด เช่น กระสุนเพลิง เป็นต้น 1.4 สารหรือสิ่งของที่ไม่แสดงความเป็นอันตรายอย่างเด่นชัด หากเกิดการปะทุหรือปะทุในระหว่างการขนส่ง จะเกิดความเสียหายเฉพาะภาชนะบรรจุ เช่น พลุอากาศ เป็นต้น 1.5 สารที่ไม่ไวต่อการระเบิด แต่หากมีการระเบิดจะมีอันตรายจากการระเบิดทั้งหมด 1.6 สิ่งของที่ไวต่อการระเบิดน้อยมากและไม่ระเบิดทันทีทั้งหมด มีความเสี่ยงต่อการระเบิดอยู่ในวงจำกัด เฉพาะในตัวสิ่งของนั้นๆ ไม่มีโอกาสที่จะเกิดการปะทุหรือแผ่กระจาย |
ประเภทที่ 2 : แก๊ส Class 2 : Gases |
สารที่อุณหภูมิ 50°C มีความดันไอมากกว่า 300 kP หรือมีสภาพเป็นแก๊สอย่างสมบูรณ์ที่อุณหภูมิ 20°C และมีความดัน 101.3 kP ได้แก่ แก๊สอัด แก๊สพิษ แก๊สในสภาพของเหลว แก๊สในสภาพของเหลวอุณหภูมิต่ำ และรวมถึงแก๊สที่ละลายในสารละลายภายใต้ความดัน เมื่อเกิดการรั่ว ไหลสามารถก่อให้เกิดอันตรายจากการลุกติดไฟและ/หรือเป็นพิษและแทนที่ออกซิเจนในอากาศ แบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้
2.1 แก๊สไวไฟ (Flammable Gases) หมายถึง แก๊สที่อุณหภูมิ 20°C และมีความดัน 101.3 kP สามารถติดไฟได้เมื่อผสมกับ อากาศ 13% หรือต่ำกว่าโดยปริมาตร หรือมีช่วงกว้างที่สามารถติดไฟได้ 12% ขึ้นไป เมื่อผสมกับอากาศโดยไม่คำนึงถึง ความเข้มข้นต่ำสุดของการผสม โดยปกติแก๊สไวไฟ หนักกว่าอากาศ ตัวอย่างของแก๊สกลุ่มนี้ เช่น อะเซทิลีน ก๊าซหุงต้มหรือก๊าซแอลพีจี เป็นต้น |
ประเภทที่ 3 : ของเหลวไวไฟ Class 3 : Flammable Liquids |
ของเหลวหรือของเหลวผสมที่มีจุดวาบไฟ (Flash Point) ไม่เกิน 60.5°C จากการทดสอบด้วยวิธีถ้วยปิด หรือไม่เกิน 65.6°C จากการทดสอบด้วยวิธีถ้วยเปิด ไอของเหลวไวไฟพร้อมลุกติดไฟเมื่อมีแหล่งประกายไฟ เช่น แอซีโตน น้ำมันเชื้อเพลิง ทินเนอร์ เป็นต้น |
ประเภทที่ 4 : ของแข็งไวไฟ Class 4 : Flammable solid |
สารที่ลุกไหใ้ได้เองและสารที่สัมผัสกับน้ำแล้วให้แก๊สไวไฟ 4.1 ของแข็งไวไฟ (Flammable Solids) หมายถึง ของแข็งที่สามารถติดไฟได้ง่ายจากการได้รับความร้อน จากประกายไฟ/เปลวไฟ หรือเกิดการลุกไหม้ได้จากการเสียดสี เช่น กำมะถัน ฟอสฟอรัสแดง ไนโตรเซลลูโลส เป็นต้น หรือเป็นสารที่มีแนวโน้มที่จะเกิดปฏิกิริยาคายความร้อนที่รุนแรง เช่น เกลือไดอะโซเนียม หรือเป็นสารระเบิดที่ถูกลดความไวต่อการเกิดระเบิด เช่น แอมโมเนียมพิเครต (เปียก) ไดไนโตรฟีนอล (เปียก) เป็นต้น 4.2 สารที่มีความเสี่ยงต่อการลุกไหม้ได้เอง (Substances Liable to Spontaneous Combustion) หมายถึง สารที่มีแนวโน้มจะเกิดความร้อนขึ้นได้เองในสภาวะการขนส่งตามปกติ หรือเกิดความร้อนสูงขึ้นได้เมื่อ สัมผัสกับอากาศและ มีแนวโน้มจะลุกไหม้ได้ 4.3 สารที่สัมผัสกับน้ำแล้วทำให้เกิดก๊าซไวไฟ (Substances which in Contact with Water Emit Flammable Gases) หมายถึง สารที่ทำปฏิกิริยากับน้ำแล้ว มีแนวโน้มที่จะเกิดการติดไฟได้เองหรือทำให้เกิด แก๊สไวไฟในปริมาณที่เป็นอันตราย |
ประเภทที่ 5 :สารออกซิไดซ์และสารอินทรีย์เปอร์ออกไซด์ Class 5 : Oxidizing and Organic peroxide |
5.1 สารออกซิไดส์ (Oxidizing) หมายถึง ของแข็ง ของเหลวที่ตัวของสารเองไม่ติดไฟ แต่ให้ออกซิเจนซึ่งช่วยให้วัตถุอื่นเกิดการลุกไหม้และอาจจะก่อให้เกิดไฟ เมื่อสัมผัสกับสารที่ลุกไหม้และ เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง เช่น แคลเซียมไฮโปคลอไรท์ โซเดียมเปอร์ออกไซด์ โซเดียมคลอเรต เป็นต้น 5.2 สารอินทรีย์เปอร์ออกไซด์ (Organic Peroxides) หมายถึง ของแข็งหรือของเหลวที่มีโครงสร้าง ออกซิเจนสองอะตอม -O-O- และช่วยในการเผาสารที่ลุกไหม้ หรือทำปฏิกิริยากับสารอื่นแล้วก่อให้เกิดอันตรายได้ หรือเมื่อได้รับความร้อนหรือลุกไหม้แล้วภาชนะบรรจุสารนี้อาจระเบิดได้ เช่น แอซีโตนเปอร์ออกไซด์ เป็นต้น |
ประเภทที่ 6 : สารพิษและสารติดเชื้อ
|
6.1 สารพิษ (Toxic Substances) หมายถึง ของแข็งหรือของเหลวที่สามารถทำให้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ รุนแรงต่อสุขภาพของคน หากกลืน สูดดมหรือหายใจรับสารนี้เข้าไป หรือเมื่อสารนี้ได้รับความร้อนหรือลุกไหม้จะ ปล่อยแก๊สพิษ เช่น โซเดียมไซยาไนด์ กลุ่มสารกำจัดแมลงศัตรูพืชและสัตว์ เป็นต้น 6.2 สารติดเชื้อ (Infectious Substances) หมายถึง สารที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนหรือสารที่มีตัวอย่าง การตรวจสอบของพยาธิ สภาพปนเปื้อนที่เป็นสาเหตุของ การเกิดโรคในสัตว์และคน เช่น แบคทีเรียเพาะเชื้อ เป็นต้น |
ประเภทที่ 7 : วัสดุกัมมันตรังสี |
วัสดุที่สามารถแผ่รังสีที่มองไม่เห็นอย่างต่อเนื่องมากกว่า 0.002 ไมโครคูรีต่อกรัม เช่น โมนาไซด์ ยูเรเนียม โคบอลต์-60 เป็นต้น |
ประเภทที่ 8 : สารกัดกร่อน Class 8 : Corrosion |
ของแข็งหรือของเหลวซึ่งโดย ปฏิกิริยาเคมีมีฤทธิ์กัดกร่อนทำความเสียหาย ต่อเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตอย่างรุนแรงหรือ ทำลายสินค้า/ยานพาหนะที่ทำการขนส่ง เมื่อเกิดการรั่วไหลของสารไอระเหยของ สารประเภทนี้ บางชนิดก่อให้เกิดการ ระคายเคืองต่อจมูกและตา เช่น HCl, H2SO4, NaOH เป็นต้น |
ประเภทที่ 9 : วัสดุอันตรายเบ็ดเตล็ด |
สารหรือสิ่งของที่ในขณะขนส่งเป็นสารอันตรายซึ่งไม่จัดอยู่ในประเภทที่ 1 ถึง 8 เช่น ปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรต เป็นต้น และให้รวมถึงสารที่ต้องควบคุมให้มีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 100°C ในสภาพของเหลวหรือมีอุณหภูมิ ไม่ต่ำกว่า 240°C ในสภาพของแข็งในระหว่างการขนส่ |
ระบบ NFPA
The National Fire Protection Association ของสหรัฐอเมริกา กำหนดสัญลักษณ์แสดงอันตรายเป็นรูปเพชร (Diamond-shape) เพื่อใช้ในการป้องกันและตอบโต้เหตุเพลิงไหม้ สัญลักษณ์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่วางตั้งตามแนวเส้นทแยงมุม ภายในแบ่งออกเป็นสี่เหลี่ยมย่อย ขนาดเท่ากัน 4 รูป ใช้พื้นที่กำกับ 4 สี ได้แก่
- สีแดง แสดงอันตรายจากไฟ (Flammability)
- สีน้ำเงิน แสดงอันตรายต่อสุขภาพ (Health)
- สีเหลือง แสดงความไวต่อปฏิกิริยาของสาร (Reactivity)
- สีขาวแสดงคุณสมบัติพิเศษของสาร และใช้ตัวเลข 0 ถึง 4 แสดงถึงระดับอันตราย
ระดับ | พื้นที่สีแดง | พื้นที่สีน้ำเงิน | พื้นที่สีเหลือง | พื้นที่สีขาว |
อันตรายจากไฟ (Flammability) | อันตรายต่อสุขภาพ (Health) | ความไวต่อปฏิกริยา (Reactivity) | แสดงข้อควรระวังพิเศษ (Special notice) | |
4 | สารไวไฟมาก ได้แก่ สารที่ระเหยเป็นไอได้รวดเร็วที่อุณหภูมิห้องที่ความดันบรรยากาศ เมื่อกระจายตัวผสมกับอากาศแล้วติดไฟได้ หรือของเหลวที่มีจุดวาบไฟ (Flash point) ต่ำกว่า 22.8oC จุดเดือดน้อยกว่า 37.8oC รวมทั้งสารที่ติดไฟได้เอง เมื่อสัมผัสกับอากาศ | สารที่ได้รับเพียงเล็กน้อยจะทำให้ตายได้ หรือเป็นอันตรายรุนแรงได้รวมทั้งสารที่จะเป็นอันตรายอย่างมาก ถ้าใช้งานโดยปราศจากอุปกรณ์ป้องกัน | สารที่สามารถย่อยสลายตัวหรือระเบิดได้ด้วยตัวเองที่อุณหภูมิห้องและความดันปกติ รวมถึงสารที่ไวต่อความร้อน และแรงสั่นสะเทือน | สารบางชนิดมีสมบัติเฉพาะตัวที่ควรสนใจเพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ คุณสมบัติของสารเหล่านี้จะแสดงด้วยอักษรย่อ หรือสัญลักษณ์ ดังนี้ OXY: เป็นสารออกซิไดส์ (สารเหล่านี้เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีจะให้ออกซิเจน หรืออิเล็กตรอน) ACID : กรด ALK : เบส |
3 | ของเหลวหรือของแข็งที่ติดไฟได้ในอากาศ ที่อุณหภูมิปกติ ได้แก่ สารที่มีจุดวาบไฟน้อยกว่า 22.8oC และมีจุดเดือดมากกว่า 37.8oC | สารที่เมื่อสูดดมในเวลาสั้น ๆ หรือสัมผัสผิวหนัง ประมาณเล็กน้อยจะเป็นอันตรายร้ายแรงชั่วคราว หรือมีผลตกค้างได้ | สารที่สลายหรือเกิดระเบิดได้ เมื่อได้รับความร้อนหรือแรงสันสะเทือนที่สูงพอ รวมถึงที่เกิดระเบิดได้เมื่อถูกน้ำ | |
2 | สารที่ต้องใช้ความร้อนปานกลางก่อนจะติดไฟในอากาศ ถ้ามีปริมาณมากพออาจก่อให้เกิดบรรยากาศที่เป็นพิษได้ ได้แก่ของเหลวที่มีจุดวาบไฟ สูงกว่า 37.8oC แต่ไม่เกิน 93.4oC | สารที่เมื่อได้รับในปริมาณที่มากพอจะทำให้เกิดทุพพลภาพชั่วคราว หรือถาวรได้ รวมถึงสารที่ต้องใช้เครื่องป้องกันอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ | สารที่จะเกิดปฏิกิริยารุนแรงในอุณหภูมิและความดันปกติ รวมถึงสารที่เกิดปฏิกิริยารุนแรงกับน้ำ | |
1 | สารประเภทที่ต้องให้ความร้อนสูงก่อนจะติดไฟและเผาไหม้ในอากาศได้ ได้แก่สารที่มีจุดวาบไฟสูงกว่า 93.4oC | สารที่เมื่อได้รับในระยะเวลาสั้น ๆ จะเกิดการระคายเคืองได้ | สารประเภทนี้ จะมีความคงตัวในสภาวะปกติ แต่ไม่มีความคงตัวเมื่ออุณหภูมิหรือความดันเพิ่ม รวมถึงสารที่สลายตัวเมื่อถูกอากาศ แสงสว่าง หรือความชื้น | |
0 | วัตถุที่ไม่ติดไฟในอากาศ แม้ว่าจะให้ความร้อนสูงถึง 815.5oC นานถึง 5 นาที | สารประเภทนี้ ไม่เป็นอันตราย นอกจากเวลาติดไฟ | สารประเภทนี้มีความคงตัวสูง แม้ว่าจะได้รับความร้อนก็ตาม รวมถึงสารที่ไม่ทำปฏิกริยากับน้ำ |
ระบบ GHS
ระบบ GHS (Globally Harmonized System of Classification and Labelling of Chemicals) คือระบบสากลการจัดกลุ่มความเป็นอันตรายและการติดฉลากสารเคมีที่เป็นระบบเดียวกันทั่วโลก พัฒนาขึ้นโดยองคNการสหประชาชาติเพื่อให้ทั่วโลกมีการจัดกลุ่มความเป็นอันตรายของสารเคมีที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยคํานึงถึงความเป็นอันตรายทางด้านกายภาพ สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม พร้อมกําหนดมาตรฐานการสื่อสารความเป็นอันตรายในรูปของฉลากและเอกสารข้อมูลความปลอดภัยในการทํางานกับสารเคมี รูปสัญลักษณ์แสดงความเป็นอันตรายมี 9 รูป
สัญลักษณ์ | |
GHS01 : Explosive วัตถุระเบิด สารที่ทำปฏิกิริยาได้ด้วยตนเอง |
สารเคมีที่เกิดปฏิกิริยาได้เอง (ชนิด A และ B) สารเปอร์ออกไซด์อินทรีย์ (ชนิด A และ B) |
GHS02 : Flammable สารไวไฟ, สารที่ทำปฏิกิริยาได้ด้วยตนเอง, สารที่ลุกติดไฟได้เอง, สารที่เกิดความร้อนได้เอง |
สารไวไฟ สารเคมีที่เกิดปฏิกิริยาได้เอง (ชนิด B, C และ D, E และ F) สารที่ลุกติดไฟได้เองในอากาศ สารเคมีที่เกิดความร้อนได้เอง สารเคมีที่สัมผัสน้ำแล้วให้ก๊าซไวไฟ |
GHS03 : Oxidizing สารออกซิไดส์, สารเปอร์ออกไซด์ |
สารออกซิไดส์ สารเปอร์ออกไซด์อินทรีย์ (ชนิด B, C และ D, E และ F) |
GHS04 : Compressed Gas ก๊าซบรรจุภายใต้ความดัน |
|
GHS05 : Corrosive สารกัดกร่อน, มีพิษต่อดวงตาและผิวหนัง |
|
GHS06 : Toxic สารที่มีพิษเฉียบพลัน อันตรายถึงชีวิต |
ความเป็นพิษเฉียบพลัน (รุนแรง) |
GHS07 : Harmful สารที่มีพิษเฉียบพลัน เป็นอันตราย ทำให้เกิดอาการแพ้ที่ผิวหนัง มีผลต่อทางเดินหายใจ |
สารระคายเคือง สารทำให้ไวต่ออาการแพ้ของระบบทางเดินหายใจหรือผิวหนัง ความเป็นพิษเฉียบพลัน (อันตราย) ความเป็นอันตรายต่อชั้นบรรยากาศโอโซน |
GHS08 : Health Hazard สารที่เป็นพิษต่อสุขภาพ, สารก่อมะเร็ง, เป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์ |
สารก่อมะเร็ง สารทำให้ไวต่ออาการแพ้ของระบบทางเดินหายใจ สารที่เป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์ สารที่เป็นพิษต่อระบบเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง สารก่อกลายพันธุ์ |
GHS09 : Environmental Hazard สารที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ |
ความเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมทางน้ำ |